ปีจันทรคติและปีสุริยคติ เดือนพระจันทร์ คือ ระยะระหว่างวันเพ็ญถึงวันเพ็ญถัดไป หรือระยะระหว่างวันดับถึงวัน ดับถัดไป ซึ่งกินเวลา 29.530588 วัน ดังนั้น 12 เดือนจันทรคติคือ 12 x 29.530588 = 354.367056 วัน Equinox เวลาทีพระอาทิตย์ข้ามเส้นศูนย์สูตรจะทำให้ทั่วโลกมีกลางวันและกลางคืนเท่ากัน
ถ้าเกิดในฤดูใบไม้ผลิเรียกว่า Vernal Equinox (21 มีนาคม)
ถ้าเกิดในฤดูใบไม้ร่วงเรียกว่า Autumnal Equinox (22 กันยายน)
ปีสุริยคติ (Solar year) คือ ระยะเวลาที่พระอาทิตย์ใช้ในการเดินทาง (ที่ปรากฏต่อโลก)
ผ่านจาก Vernal Equinox กลับมาที่ Vernal Equinox อีกครั้ง ซึ่งยาว 365.25636 วัน
ถ้าเกิดในฤดูใบไม้ผลิเรียกว่า Vernal Equinox (21 มีนาคม)
ถ้าเกิดในฤดูใบไม้ร่วงเรียกว่า Autumnal Equinox (22 กันยายน)
ปีสุริยคติ (Solar year) คือ ระยะเวลาที่พระอาทิตย์ใช้ในการเดินทาง (ที่ปรากฏต่อโลก)
ผ่านจาก Vernal Equinox กลับมาที่ Vernal Equinox อีกครั้ง ซึ่งยาว 365.25636 วัน
ความต่างระหว่างปีสุริยคติและปีจันทรคติ คือ
365.25636 - 354.367056 = 10.875143 วันต่อปี
ในรอบ 3 ปี ความต่างจะเป็น 3 x 10.875143 = 32.62549 วัน
ซึ่งมากกว่า 1 เดือน นั่นเป็นเหตุผลทำไมต้องมีการปรับปฏิทินจันทรคติ ตาม ปฏิทินสุริยคติ (ฤดูกาลจตรงตามปฏิทินสุริยคติ)
365.25636 - 354.367056 = 10.875143 วันต่อปี
ในรอบ 3 ปี ความต่างจะเป็น 3 x 10.875143 = 32.62549 วัน
ซึ่งมากกว่า 1 เดือน นั่นเป็นเหตุผลทำไมต้องมีการปรับปฏิทินจันทรคติ ตาม ปฏิทินสุริยคติ (ฤดูกาลจตรงตามปฏิทินสุริยคติ)
ปฏิทิน
ปฏิทิน คือ ระบบที่แบ่งเวลาออกเป็นช่วงที่ง่ายต่อการใช้ คือ วัน เดือน และปีบรรดาปฏิทินที่เก่าแก่ที่สุดจะใช้เดือนและปีจันทรคติ (ง่ายต่อการสังเกต) และส่วนใหญ่จะมีการปรับกับปีสุริคติ (ยกเว้นบางปฏิทิน เช่น ปฏิทินฮินดูและปฏิทินจีน ซึ่งจะปรับกับปีดาว)ปฏิทินที่มีการใช้งานอยู่ในชีวิตประจำวันในยุคปัจจุบันอย่างแท้จริงมีเพียงปฏิทินมุสลิม (Moslem Calendar)
ปฏิทิน คือ ระบบที่แบ่งเวลาออกเป็นช่วงที่ง่ายต่อการใช้ คือ วัน เดือน และปีบรรดาปฏิทินที่เก่าแก่ที่สุดจะใช้เดือนและปีจันทรคติ (ง่ายต่อการสังเกต) และส่วนใหญ่จะมีการปรับกับปีสุริคติ (ยกเว้นบางปฏิทิน เช่น ปฏิทินฮินดูและปฏิทินจีน ซึ่งจะปรับกับปีดาว)ปฏิทินที่มีการใช้งานอยู่ในชีวิตประจำวันในยุคปัจจุบันอย่างแท้จริงมีเพียงปฏิทินมุสลิม (Moslem Calendar)
ปฏิทินสุวรรณ ภูมิ
ปัจจุบันมีการใช้อย่างเป็นทางการสำหรับพุทธศาสนาในประเทศไทย และถูกใช้ในพุทธ ศาสนาอย่างไม่เป็นทางการ ในกัมพูชา ลาว พม่า และเมือง Xishuangbanna ในจีน
- ปฏิทินสุวรรณภูมิใช้เดือนจันทรคติและปีจันทรคติ โดยปรับกับปีสุริยคติ
- ในเดือนคี่ (เดือน 1, 3, 5, 7, 9, 11) ของปีจะมี 29 วัน - วันขึ้น 1-15 ค่ำ วันแรม 1-14 ค่ำ
ในเดือนคู่ (เดือน 2, 4, 6, 8, 10, 12) ของปีจะมี 30 วัน - วันขึ้น 1-15 ค่ำ วันแรม 1-15 ค่ำ “เดือนคี่ดับคู่ เดือนคู่ดับคี่”
วันพระหรือธรรมสวนะ มี 4 ครั้งต่อเดือน คือ ขึ้น 8 ค่ำ ขึ้น 15 ค่ำ แรม 8 ค่ำ และแรมสุดท้ายของเดือน - โดยเฉลี่ย แต่ละเดือนจะมี 29.5 วัน ซึ่งสั้นกว่าเดือนจันทรคติจริงเป็นระยะเวลา 29.530588-29.5 = 0.030588 วันต่อเดือนหรือเป็น 0.030588x33 = 1.009404 วันต่อ 33 เดือน
นี่คือเหตุผลว่าทำไมวันเพ็ญและวันดับส่วนใหญ่ในปฏิทินสุวรรณภูมิถึงได้เกิด ก่อนวันเพ็ญและวันดับบนท้องฟ้า - เราได้ใช้สูตรการคำนวณในคัมภีร์สุริยยาส (ถือตามสุรยคติ) ใช้มานานนับพันปี เพื่อมาทำให้การคำนวณถูกต้องมากยิ่งขึ้น
- ในรอบ 19 ปี 7 ปี จะมี 13 เดือน (ปีที่1, 4, 7, 10, 12, 15, 18) เรียกว่า ปีอธิกมาส 12 ปี จะมี 12 เดือน เรียกว่า ปีปกติมาส อธิก = เพิ่ม มาส = เดือน ปีอธิมาสจะมีเดือน 8 สองหน โดยนับเดือน 8 หนที่สอง เป็นเดือนแปดหลัก เช่น วันอาสาฬหบูชา สูตรหาปีอธิกมาส คือ 3332332 รอบ 19 ปีนี้ไม่ได้มีเฉพาะในปฏิทินสุวรรณภูมิ
- ปีปกติมาส มี 2 ประเภท คือ
* ปกติวาร เดือน 7 มี 29 วันตามปกติ
* อธิกวาร เดือน 7 มี 30 วัน โดยเพิ่มแรม 15 ค่ำ () - ในปีอธิกวาร ได้เพิ่มเดือนวันในเดือน 7 เพื่อปรับให้วันเพ็ญเดือน 8 ถูกต้อง (ตรงกับวันที่พระจันทร์เต็มดวง) ซึ่งจะทำให้วันเข้าพรรษาถูกต้อง เพราะชาวล้านนาต้องดำนาก่อนเข้าพรรษา ถ้าดำนาหลังเข้าพรรษาสักสองอาทิตย์จะพบว่าเม็ดข้าวจะลีบ สรุปว่าเหตุที่เรา เติมเดือน 8 (ไม่ใช่เดือนอื่น) ก็เพราะเราทำนา
- ปฏิทินจันทรคติของทุกชาติ รวมทั้งชาวยิว จะมีปีที่มี 13 เดือน แต่วิธีการจะต่างกันขึ้นกับ ความเป็นอยู่
- จีนและอินเดียจะเทียบปีจันทรคติกับปีดาว เพราะมีพื้นที่ที่อยู่เหนือเส้นละติจูดที่ 23.5 N ทำให้ไม่เห็นพระอาทิตย์ตั้งฉากทุกพื้นที่ ดังนั้นการใช้ดาวสื่อสารกันจึงง่ายกว่า มีแต่สอง ชาตินี้ใช้คนละจักรราศรี ไทยใช้ดาวไม่ได้เพราะมีฤดูฝนถึง 6 เดือน
- จำนวนวันในแต่ละปีของจีนและอินเดียมีหลากหลายมาก แต่ของไทยนั้นมีไม่กี่แบบ ของ ไทย classic เก่าแก่ โบราณ ของจีนและอินเดียได้พัฒนาโดยใช้ดาวช่วย
- ปฏิทินจันทรคติของจีนกับอินเดียไม่มีปีอธิกวาร เพราะจีนและอินเดียนับเดือนตรงกับ ความเป็นจริงบนท้องฟ้า แต่ปฏิทินจันทรคติไทยใช้สูตรให้ 1 เดือนมี 29.5 วัน ซึ่งจะขาดไปจากความเป็นจริงเดือนละ 0.030588 วัน เมื่อครบ 33 เดือน (ราว 3 ปี) จะขาดไปประมาณ 1 วัน
- เดิมสุโขทัยก็ใช้จุลศักราช (ตั้งแต่พ.ศ. 1182) โดยคำนวณตามคัมภีร์สุริยยาส ซึ่งยังใช้คัมภีร์สุริยาสสำหรับปฏิทินสุริยคติอยู่จนถึงปัจจุบัน เมื่อใช้นานเข้าก็ พบว่าฤดูกาลผิดพลาด ก็มีการปรับกันหลายครั้ง ที่ชัดเจนคือสมัยพญาลิไท มี การปรับฤกษ์ปรับยามวางตำแหน่งดาวใหม่
- การปรับครั้งที่สอง พระเจ้าประสาททองใช้เสาชิงช้ามาตรวจสอบพระอาทิตย์ และพระจันทร์มีที่กรุงเทพฯ และนครศรีธรรมราช
- ในสมัยพระนารายณ์มหาราชได้ย้ายวันปีใหม่มาเป็นวันสงกรานต์แต่เดิม เปลี่ยนวันสิ้นปีคือวันลอยกระทง (เพ็ญเดือน 12) และวันปีใหม่คือวันถัดไป
- รัชกาลที่ 4 ได้จัดทำปฏิทินจันทรคติไทยให้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้นซึ่งวันเพ็ญ จะถูกต้องยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้รับความนิยม ปัจจุบันก็มีใช้ในพระธรรมยุติกาย เช่น วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ ปัจจุบันปฏิทินจันทรคติไทยก็ยังคำนวณตามคัมภีร์สุริยยาสเช่นเดิม (รวมสำนักพระราชวังด้วย)
- คนโบราณใช้พระจันทร์เป็นตัวนัดหมาย
เพ็ญเดือน 12 ปลายฝนต้นหนาว
เพ็ญเดือน 3 ปลายหนาวเข้าร้อน
เพ็ญเดือน 6 ร้อนเข้าฝน
เพ็ญเดือน 8 เข้าฝนชุก - คนสมัยก่อนรู้จักสูตร 3332332 หรือไม่ ?
ไม่รู้แต่รู้ว่าวันเพ็ญเดือน 12, 3 และ 6 ถือเป็นวันสิ้นสุดฤดูกาล เมื่อถึงเพ็ญ เหล่านั้นแล้วฤดูกาลยังไม่เปลี่ยนก็จะเติมเดือน 8 อีกครั้งเพื่อให้ฤดูกาลถูกต้อง การดูฤดูกาลก็จะดูผลิของดอกไม้เช่น ถ้าดอกปีดอกฉัตรแก้วยังไม่ออกในเพ็ญเดือนแปดก็ให้ เติมเดือนแปด ขมุจะใช้ออกสาบเสือด้วย ส่วนลั๊วะพัฒนาสูงโดยมีหลายดอกให้สังเกต
การปรับปฏิทินสุวรรณภูมิกับสุรยคติ - การปรับปฏิทินสุวรรณภูมินั้นตั้งใจให้แต่ละเดือนอยู่ในฤดูกาลเดียวกันทุกปี นั่นคือ
- วันสิ้นสุดของเดือนแรก (แรม 14 ค่ำเดือน 1) จะอยู่กลางฤดูหนาว
- ข้างแรมของเดือน 5 อยู่กลางฤดูร้อน
- ข้างแรมของเดือน 6 เป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูฝน
- ข้างแรมของเดือน 12 เป็นการสิ้นสุดของหน้าฝนและเริ่มต้นฤดูหนาว
เงื่อนไขข้างต้นจะเกิดขึ้นเมื่อวันเพ็ญและวันดับเกิดสอดคล้องกับเงื่อนไขต่อไปนี้
ก1) วันดับของเดือน (วันสุดท้ายของเดือน) ของเดือนแรก จะเป็นวันดับเดือนแรก หลัง South Solstice (22 ธันวาคม)
ก2) วันดับของเดือนที่ 4 ต้องเป็นวันดับหลังจาก Vernal Equinox (21 มีนาคม)
ก3) วันเพ็ญเดือน 8 ต้องเป็นวันเพ็ญแรกหลัง North Solstice และต้องเกิดหลังจาก
North Solstice อย่างน้อย 11 วัน (หลัง 2 กรกฎาคม)
South Solstice คือ วันที่แสงพระอาทิตย์ตั้งฉากกับพื้นผิวโลกที่ tropic of Cancer 23.5 S
North Solstice คือ วันที่แสงพระอาทิตย์ตั้งฉากกับพื้นผิวโลกที่ tropic of Cancer 23.5 S - สัญญาณที่บอกล่วงหน้าว่าเงื่อนไขดังกล่าวจะขัดแย้งในบางปีก็คือ
ข1) วันเพ็ญเดือน 12 เกิดก่อนวันที่แสงอาทิตย์ตั้งฉากที่ 11.75 S (ก่อน 9 พฤศจิกายน)
ข2) วันดับของเดือน 4 เกิดก่อนหรือเกิดในวัน Vernal Equinox ซึ่งจะบังคับให้พระจันทร์ข้างแรมของเดือน 6 จะเกิดก่อนการเริ่มต้นฤดูฝน
ข3) วันเพ็ญเดือน 8 เกิดภายใน 11 วันหลังจาก North Solstice ซึ่งจะเกิดก่อนการเริ่มต้นของ heavy rain นี่เป็นเหตุผลที่ย้ายวันอาสาฬหบูชาได้ถูกย้ายไปวันเพ็ญของเดือนถัดไป ในปีนี้จะมีเดือน 8 สองหน เราเรียกว่าปีอธิกมาส ซึ่งเป็นปีที่มี 13 เดือน
เงื่อนไข (ข1) ทำให้เกิดเงื่อนไข (ข2) เงื่อนไข (ข2) ทำให้เกิด (ข3) ที่ใส่
เดือน 8 ซ้ำอีกครั้งจะทำให้วันเพ็ญของเดือนที่ 12 ที่กำลังจะมาถึง ไม่เกิดก่อนแสงอาทิตย์ที่ 11.75 S ซึ่งทำให้เงื่อนไข (ก1)-(ก3) เป็นจริง
เงื่อนไขทั้งหมดข้างต้นขึ้นกับว่าวันเพ็ญและวันดับในปฏิทินสุวรรณภูมิ ตรงกับวันเพ็ญและวันดับบนท้องฟ้าหรือไม่ ดังนั้นจึงมีประเพณีการบูชาวัน เพ็ญเดือน 3,5, 6, 8 และ 12 มาอย่างต่อเนื่องในดินแดนสุวรรณภูมิมาตั้งแต่โบราณกาล เงื่อนไข (ก1)-(ก3) จะขึ้นกับว่าวันเพ็ญและวันดับในปฏิทินสุวรรณภูมิ ตรงกับวันเพ็ญและวันดับบนท้องฟ้าหรือไม่ ดังนั้นจึงมีประเพณีการบูชาวัน เพ็ญเดือน ที่กำลังจะมาถึง
นำเสนอโดย
อาจารย์ อติชาต เกตตะพันธุ์
ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
อาจารย์ อติชาต เกตตะพันธุ์
ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ปีจันทรคติและปีสุริยคติ เดือนพระจันทร์ คือ ระยะระหว่างวันเพ็ญถึงวันเพ็ญถัดไป หรือระยะระหว่างวันดับถึงวัน ดับถัดไป ซึ่งกินเวลา 29.530588 วัน ดังนั้น 12 เดือนจันทรคติคือ 12 x 29.530588 = 354.367056 วัน Equinox เวลาทีพระอาทิตย์ข้ามเส้นศูนย์สูตรจะทำให้ทั่วโลกมีกลางวันและกลางคืนเท่ากัน
ถ้าเกิดในฤดูใบไม้ผลิเรียกว่า Vernal Equinox (21 มีนาคม)
ถ้าเกิดในฤดูใบไม้ร่วงเรียกว่า Autumnal Equinox (22 กันยายน)
ปีสุริยคติ (Solar year) คือ ระยะเวลาที่พระอาทิตย์ใช้ในการเดินทาง (ที่ปรากฏต่อโลก)
ผ่านจาก Vernal Equinox กลับมาที่ Vernal Equinox อีกครั้ง ซึ่งยาว 365.25636 วัน
ถ้าเกิดในฤดูใบไม้ผลิเรียกว่า Vernal Equinox (21 มีนาคม)
ถ้าเกิดในฤดูใบไม้ร่วงเรียกว่า Autumnal Equinox (22 กันยายน)
ปีสุริยคติ (Solar year) คือ ระยะเวลาที่พระอาทิตย์ใช้ในการเดินทาง (ที่ปรากฏต่อโลก)
ผ่านจาก Vernal Equinox กลับมาที่ Vernal Equinox อีกครั้ง ซึ่งยาว 365.25636 วัน
ความต่างระหว่างปีสุริยคติและปีจันทรคติ คือ
365.25636 - 354.367056 = 10.875143 วันต่อปี
ในรอบ 3 ปี ความต่างจะเป็น 3 x 10.875143 = 32.62549 วัน
ซึ่งมากกว่า 1 เดือน นั่นเป็นเหตุผลทำไมต้องมีการปรับปฏิทินจันทรคติ ตาม ปฏิทินสุริยคติ (ฤดูกาลจตรงตามปฏิทินสุริยคติ)
365.25636 - 354.367056 = 10.875143 วันต่อปี
ในรอบ 3 ปี ความต่างจะเป็น 3 x 10.875143 = 32.62549 วัน
ซึ่งมากกว่า 1 เดือน นั่นเป็นเหตุผลทำไมต้องมีการปรับปฏิทินจันทรคติ ตาม ปฏิทินสุริยคติ (ฤดูกาลจตรงตามปฏิทินสุริยคติ)
ปฏิทิน
ปฏิทิน คือ ระบบที่แบ่งเวลาออกเป็นช่วงที่ง่ายต่อการใช้ คือ วัน เดือน และปีบรรดาปฏิทินที่เก่าแก่ที่สุดจะใช้เดือนและปีจันทรคติ (ง่ายต่อการสังเกต) และส่วนใหญ่จะมีการปรับกับปีสุริคติ (ยกเว้นบางปฏิทิน เช่น ปฏิทินฮินดูและปฏิทินจีน ซึ่งจะปรับกับปีดาว)ปฏิทินที่มีการใช้งานอยู่ในชีวิตประจำวันในยุคปัจจุบันอย่างแท้จริงมีเพียงปฏิทินมุสลิม (Moslem Calendar)
ปฏิทิน คือ ระบบที่แบ่งเวลาออกเป็นช่วงที่ง่ายต่อการใช้ คือ วัน เดือน และปีบรรดาปฏิทินที่เก่าแก่ที่สุดจะใช้เดือนและปีจันทรคติ (ง่ายต่อการสังเกต) และส่วนใหญ่จะมีการปรับกับปีสุริคติ (ยกเว้นบางปฏิทิน เช่น ปฏิทินฮินดูและปฏิทินจีน ซึ่งจะปรับกับปีดาว)ปฏิทินที่มีการใช้งานอยู่ในชีวิตประจำวันในยุคปัจจุบันอย่างแท้จริงมีเพียงปฏิทินมุสลิม (Moslem Calendar)
ปฏิทินสุวรรณ ภูมิ
ปัจจุบันมีการใช้อย่างเป็นทางการสำหรับพุทธศาสนาในประเทศไทย และถูกใช้ในพุทธ ศาสนาอย่างไม่เป็นทางการ ในกัมพูชา ลาว พม่า และเมือง Xishuangbanna ในจีน
- ปฏิทินสุวรรณภูมิใช้เดือนจันทรคติและปีจันทรคติ โดยปรับกับปีสุริยคติ
- ในเดือนคี่ (เดือน 1, 3, 5, 7, 9, 11) ของปีจะมี 29 วัน - วันขึ้น 1-15 ค่ำ วันแรม 1-14 ค่ำ
ในเดือนคู่ (เดือน 2, 4, 6, 8, 10, 12) ของปีจะมี 30 วัน - วันขึ้น 1-15 ค่ำ วันแรม 1-15 ค่ำ “เดือนคี่ดับคู่ เดือนคู่ดับคี่”
วันพระหรือธรรมสวนะ มี 4 ครั้งต่อเดือน คือ ขึ้น 8 ค่ำ ขึ้น 15 ค่ำ แรม 8 ค่ำ และแรมสุดท้ายของเดือน - โดยเฉลี่ย แต่ละเดือนจะมี 29.5 วัน ซึ่งสั้นกว่าเดือนจันทรคติจริงเป็นระยะเวลา 29.530588-29.5 = 0.030588 วันต่อเดือนหรือเป็น 0.030588x33 = 1.009404 วันต่อ 33 เดือน
นี่คือเหตุผลว่าทำไมวันเพ็ญและวันดับส่วนใหญ่ในปฏิทินสุวรรณภูมิถึงได้เกิด ก่อนวันเพ็ญและวันดับบนท้องฟ้า - เราได้ใช้สูตรการคำนวณในคัมภีร์สุริยยาส (ถือตามสุรยคติ) ใช้มานานนับพันปี เพื่อมาทำให้การคำนวณถูกต้องมากยิ่งขึ้น
- ในรอบ 19 ปี 7 ปี จะมี 13 เดือน (ปีที่1, 4, 7, 10, 12, 15, 18) เรียกว่า ปีอธิกมาส 12 ปี จะมี 12 เดือน เรียกว่า ปีปกติมาส อธิก = เพิ่ม มาส = เดือน ปีอธิมาสจะมีเดือน 8 สองหน โดยนับเดือน 8 หนที่สอง เป็นเดือนแปดหลัก เช่น วันอาสาฬหบูชา สูตรหาปีอธิกมาส คือ 3332332 รอบ 19 ปีนี้ไม่ได้มีเฉพาะในปฏิทินสุวรรณภูมิ
- ปีปกติมาส มี 2 ประเภท คือ
* ปกติวาร เดือน 7 มี 29 วันตามปกติ
* อธิกวาร เดือน 7 มี 30 วัน โดยเพิ่มแรม 15 ค่ำ () - ในปีอธิกวาร ได้เพิ่มเดือนวันในเดือน 7 เพื่อปรับให้วันเพ็ญเดือน 8 ถูกต้อง (ตรงกับวันที่พระจันทร์เต็มดวง) ซึ่งจะทำให้วันเข้าพรรษาถูกต้อง เพราะชาวล้านนาต้องดำนาก่อนเข้าพรรษา ถ้าดำนาหลังเข้าพรรษาสักสองอาทิตย์จะพบว่าเม็ดข้าวจะลีบ สรุปว่าเหตุที่เรา เติมเดือน 8 (ไม่ใช่เดือนอื่น) ก็เพราะเราทำนา
- ปฏิทินจันทรคติของทุกชาติ รวมทั้งชาวยิว จะมีปีที่มี 13 เดือน แต่วิธีการจะต่างกันขึ้นกับ ความเป็นอยู่
- จีนและอินเดียจะเทียบปีจันทรคติกับปีดาว เพราะมีพื้นที่ที่อยู่เหนือเส้นละติจูดที่ 23.5 N ทำให้ไม่เห็นพระอาทิตย์ตั้งฉากทุกพื้นที่ ดังนั้นการใช้ดาวสื่อสารกันจึงง่ายกว่า มีแต่สอง ชาตินี้ใช้คนละจักรราศรี ไทยใช้ดาวไม่ได้เพราะมีฤดูฝนถึง 6 เดือน
- จำนวนวันในแต่ละปีของจีนและอินเดียมีหลากหลายมาก แต่ของไทยนั้นมีไม่กี่แบบ ของ ไทย classic เก่าแก่ โบราณ ของจีนและอินเดียได้พัฒนาโดยใช้ดาวช่วย
- ปฏิทินจันทรคติของจีนกับอินเดียไม่มีปีอธิกวาร เพราะจีนและอินเดียนับเดือนตรงกับ ความเป็นจริงบนท้องฟ้า แต่ปฏิทินจันทรคติไทยใช้สูตรให้ 1 เดือนมี 29.5 วัน ซึ่งจะขาดไปจากความเป็นจริงเดือนละ 0.030588 วัน เมื่อครบ 33 เดือน (ราว 3 ปี) จะขาดไปประมาณ 1 วัน
- เดิมสุโขทัยก็ใช้จุลศักราช (ตั้งแต่พ.ศ. 1182) โดยคำนวณตามคัมภีร์สุริยยาส ซึ่งยังใช้คัมภีร์สุริยาสสำหรับปฏิทินสุริยคติอยู่จนถึงปัจจุบัน เมื่อใช้นานเข้าก็ พบว่าฤดูกาลผิดพลาด ก็มีการปรับกันหลายครั้ง ที่ชัดเจนคือสมัยพญาลิไท มี การปรับฤกษ์ปรับยามวางตำแหน่งดาวใหม่
- การปรับครั้งที่สอง พระเจ้าประสาททองใช้เสาชิงช้ามาตรวจสอบพระอาทิตย์ และพระจันทร์มีที่กรุงเทพฯ และนครศรีธรรมราช
- ในสมัยพระนารายณ์มหาราชได้ย้ายวันปีใหม่มาเป็นวันสงกรานต์แต่เดิม เปลี่ยนวันสิ้นปีคือวันลอยกระทง (เพ็ญเดือน 12) และวันปีใหม่คือวันถัดไป
- รัชกาลที่ 4 ได้จัดทำปฏิทินจันทรคติไทยให้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้นซึ่งวันเพ็ญ จะถูกต้องยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้รับความนิยม ปัจจุบันก็มีใช้ในพระธรรมยุติกาย เช่น วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ ปัจจุบันปฏิทินจันทรคติไทยก็ยังคำนวณตามคัมภีร์สุริยยาสเช่นเดิม (รวมสำนักพระราชวังด้วย)
- คนโบราณใช้พระจันทร์เป็นตัวนัดหมาย
เพ็ญเดือน 12 ปลายฝนต้นหนาว
เพ็ญเดือน 3 ปลายหนาวเข้าร้อน
เพ็ญเดือน 6 ร้อนเข้าฝน
เพ็ญเดือน 8 เข้าฝนชุก - คนสมัยก่อนรู้จักสูตร 3332332 หรือไม่ ?
ไม่รู้แต่รู้ว่าวันเพ็ญเดือน 12, 3 และ 6 ถือเป็นวันสิ้นสุดฤดูกาล เมื่อถึงเพ็ญ เหล่านั้นแล้วฤดูกาลยังไม่เปลี่ยนก็จะเติมเดือน 8 อีกครั้งเพื่อให้ฤดูกาลถูกต้อง การดูฤดูกาลก็จะดูผลิของดอกไม้เช่น ถ้าดอกปีดอกฉัตรแก้วยังไม่ออกในเพ็ญเดือนแปดก็ให้ เติมเดือนแปด ขมุจะใช้ออกสาบเสือด้วย ส่วนลั๊วะพัฒนาสูงโดยมีหลายดอกให้สังเกต
การปรับปฏิทินสุวรรณภูมิกับสุรยคติ - การปรับปฏิทินสุวรรณภูมินั้นตั้งใจให้แต่ละเดือนอยู่ในฤดูกาลเดียวกันทุกปี นั่นคือ
- วันสิ้นสุดของเดือนแรก (แรม 14 ค่ำเดือน 1) จะอยู่กลางฤดูหนาว
- ข้างแรมของเดือน 5 อยู่กลางฤดูร้อน
- ข้างแรมของเดือน 6 เป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูฝน
- ข้างแรมของเดือน 12 เป็นการสิ้นสุดของหน้าฝนและเริ่มต้นฤดูหนาว
เงื่อนไขข้างต้นจะเกิดขึ้นเมื่อวันเพ็ญและวันดับเกิดสอดคล้องกับเงื่อนไขต่อไปนี้
ก1) วันดับของเดือน (วันสุดท้ายของเดือน) ของเดือนแรก จะเป็นวันดับเดือนแรก หลัง South Solstice (22 ธันวาคม)
ก2) วันดับของเดือนที่ 4 ต้องเป็นวันดับหลังจาก Vernal Equinox (21 มีนาคม)
ก3) วันเพ็ญเดือน 8 ต้องเป็นวันเพ็ญแรกหลัง North Solstice และต้องเกิดหลังจาก
North Solstice อย่างน้อย 11 วัน (หลัง 2 กรกฎาคม)
South Solstice คือ วันที่แสงพระอาทิตย์ตั้งฉากกับพื้นผิวโลกที่ tropic of Cancer 23.5 S
North Solstice คือ วันที่แสงพระอาทิตย์ตั้งฉากกับพื้นผิวโลกที่ tropic of Cancer 23.5 S - สัญญาณที่บอกล่วงหน้าว่าเงื่อนไขดังกล่าวจะขัดแย้งในบางปีก็คือ
ข1) วันเพ็ญเดือน 12 เกิดก่อนวันที่แสงอาทิตย์ตั้งฉากที่ 11.75 S (ก่อน 9 พฤศจิกายน)
ข2) วันดับของเดือน 4 เกิดก่อนหรือเกิดในวัน Vernal Equinox ซึ่งจะบังคับให้พระจันทร์ข้างแรมของเดือน 6 จะเกิดก่อนการเริ่มต้นฤดูฝน
ข3) วันเพ็ญเดือน 8 เกิดภายใน 11 วันหลังจาก North Solstice ซึ่งจะเกิดก่อนการเริ่มต้นของ heavy rain นี่เป็นเหตุผลที่ย้ายวันอาสาฬหบูชาได้ถูกย้ายไปวันเพ็ญของเดือนถัดไป ในปีนี้จะมีเดือน 8 สองหน เราเรียกว่าปีอธิกมาส ซึ่งเป็นปีที่มี 13 เดือน
เงื่อนไข (ข1) ทำให้เกิดเงื่อนไข (ข2) เงื่อนไข (ข2) ทำให้เกิด (ข3) ที่ใส่
เดือน 8 ซ้ำอีกครั้งจะทำให้วันเพ็ญของเดือนที่ 12 ที่กำลังจะมาถึง ไม่เกิดก่อนแสงอาทิตย์ที่ 11.75 S ซึ่งทำให้เงื่อนไข (ก1)-(ก3) เป็นจริง
เงื่อนไขทั้งหมดข้างต้นขึ้นกับว่าวันเพ็ญและวันดับในปฏิทินสุวรรณภูมิ ตรงกับวันเพ็ญและวันดับบนท้องฟ้าหรือไม่ ดังนั้นจึงมีประเพณีการบูชาวัน เพ็ญเดือน 3,5, 6, 8 และ 12 มาอย่างต่อเนื่องในดินแดนสุวรรณภูมิมาตั้งแต่โบราณกาล เงื่อนไข (ก1)-(ก3) จะขึ้นกับว่าวันเพ็ญและวันดับในปฏิทินสุวรรณภูมิ ตรงกับวันเพ็ญและวันดับบนท้องฟ้าหรือไม่ ดังนั้นจึงมีประเพณีการบูชาวัน เพ็ญเดือน ที่กำลังจะมาถึง
นำเสนอโดย
อาจารย์ อติชาต เกตตะพันธุ์
ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
อาจารย์ อติชาต เกตตะพันธุ์
ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น